ถ้าจะกล่าวถึงอัญมณีอันล้ำค่าที่อยู่คู่กับผู้หญิงมาช้านานคงหนีไม่พ้น อัญมณีที่ชื่อว่า "ไข่มุก" ถึงกับมีคนขนานนามไข่มุกว่าเป็น ราชินีแห่งอัญมณี ด้วยเมื่อโบราณกาลไข่มุกหาได้ยากยิ่ง ซึ่งจะพบจากหอยนางรมตามธรรมชาติที่มีสิ่งแปลกปลอมหลงหลุดเข้าไปในตัวหอยทำให้ตัวหอยระคายเคืองแล้วปล่อยสารออกมาเคลือบและมีลักษณะเงางามเหมือนเปลือกหอยชนิดนั้นๆ
แต่ทว่าผู้ให้กำเนิดมุกเลี้ยงที่มีชื่ออยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ของโลกคือท่าน โคคิชิ มิกิโมโต (Kokichi Mikimoto) ผู้ซึ่งทำการเพาะเลี้ยงหอยมุกจนสามารถสร้าง "ไข่มุกเลี้ยง" ได้สำเร็จ ซึ่งในตอนแรกนั้นท่านมิกิโมโตได้นำทรายใส่เข้าไปที่ปากของหอยนางรมเป็น 10,000 ตัว แต่หอยนางรมหมื่นตัวไม่ปรากฏไข่มุกแม้แต่เม็ดเดียว หลังจากนั้นท่านมิกิโมโตได้ทดลองเอาวัตถุหลากหลาย เช่น แก้ว ไม้ ทองแดง ถ่าน ดินเหนียว และอื่นๆ ใส่เข้าไปในตัวหอยแต่ก็ยังไม่เป็นผลท่านมิกิโมโตจึงต้องสูญเสียลูกน้องและเงินทองไปจำนวนมาก เพราะในการเพาะเลี้ยงต้องใช้เวลาเป็นปีๆ เหลือแต่เพียงภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก คุณอูเม๊ะ ผู้ที่เชื่อมั่นในตัวของท่านมิกิโมโต และแล้วในปี ค.ศ.1893 ความพยายามของท่านมิกิโมโตสัมฤทธิ์ผลไข่มุกเลี้ยงเม็ดแรกที่ได้เป็นรูปครึ่งวงกลม แต่ท่านมิกิโมโตคิดว่าถ้าจะให้เป็นไข่มุกคุณภาพต้องทำให้ไข่มุกกลมให้ได้ หลังจากการลองผิดลองถูกนานถึง 12 ปี จนเกือบจะสิ้นเนื้อประดาตัว ในปี ค.ศ. 1905 ได้เกิดภาวะกระแสน้ำแดง ทำลายหอยที่เลี้ยงไว้ไปกว่า 850,000 ตัว แต่ทว่าเมื่อท่านมิกิโมโตแกะเปลือกออกดูก็พบไข่มุกกลมเกลี้ยงราวไข่มุกธรรมชาติ ท่านมิกิโมโตนำหอยมุกตัวนึงมาวิจัยอย่างละเอียด แล้วก็ทราบว่าตำแหน่งที่นำวัตถุแปลกปลอมไปฝังคือในส่วนเนื้อของหอย น้ำตาของหอยจึงเคลือบวัตถุนั้นโดยรอบ ซึ่งวัตถุทรงกลมที่ทำการฝั่งลงในตัวหอยต่อมาเรียกว่า "นิวเคลียส" การฝังนิวเคลียสเข้าในหอยมุกเป็นงานยาก ส่วนใหญ่แล้วหอยมักจะตาย ท่านมิกิโมโตทดลองจนพบว่านิวเคลียสที่ทำจากเปลือกหอยแมลงภู่ชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำเทนเนสซีและมิสซิสซิปปีจะทำให้หอยระคายเคืองได้มากที่สุด วิธีการนี้ได้กลายมาเป็นหลักพื้นฐานในการเพาะเลี้ยงมุกน้ำเค็มทุกรูปแบบในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งการเลี้ยงหอยมุก 3 ล้านตัวจะมีหอยที่มีไข่มุกที่ใช้ได้เพียง 5% เท่านั้นหลังจากเพาะเลี้ยง 7 ถึง 9 ปี
ท่านมิกิโมโตตกเป็นข่าวใหญ่ซึ่งเป็นที่สนใจอย่างมากเมื่อเปิดร้านขายปลีกไข่มุกร้านที่ 2 ในย่านกินซาของโตเกียวในปี ค.ศ.1906 ภายในอาคารแบบตะวันตก 2 ชั้นสร้างด้วยหินสีขาวของร้าน มีชายหนุ่มแต่งกายด้วยสูท 3 ชิ้นตัดเย็บอย่างประณีตคอยให้บริการลูกค้า เครื่องประดับมุกออกแบบใหม่ทุกเดือน คุณภาพชั้นยอด สะท้อนความชื่นชมในสุนทรียศาสตร์แบบตะวันตก ผนวกกับรสนิยมที่เป็นเอกลักษณ์ของท่านมิกิโมโตเอง หลังจากที่ธุรกิจประสบความสำเร็จอย่างสูง ในปี ค.ศ.1913 ท่านมิกิโมโตจึงขยายไปเปิดสาขาในลอนดอน ตามด้วยปารีส นิวยอร์ก เซี่ยงไฮ้ และบอมเบย์ มีการส่งแมวมองไปยังศูนย์กลางแฟชั่นทั่วโลกเพื่อดูแนวโน้มและสไตล์ใหม่ล่าสุด "ผมอยากประดับลำคอของสตรีทุกคนในโลกด้วยไข่มุก" คือความปรารถนาที่แสนจะถ่อมตนของท่านมิกิโมโต และในหน้าประวิติศาสตร์ในปี ค.ศ. 1926 ท่านมิกิโมโตได้นำระฆังสันติภาพประดับไข่มุกออกแสดงในงานแสดงสินค้าโลกในเมืองฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา เมื่อพบกับ โทมัส เอดิสัน นักประดิษฐ์ซึ่งเป็นนักสะสมไข่มุกตัวยงในปีต่อมา เอดิสันบอกท่านมิกิโมโตว่า "สองสิ่งที่ห้องทดลองของเขาทำไม่ได้คือ เพชรและมุกที่เขารักยิ่ง"
นี่คือที่มาของคุณภาพของแบรนด์ MIKIMOTO ที่ผู้หญิงทั่วทั้งโลกหมายปอง ด้วยความมะนะบากบั่นและความใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิตของบุรุษที่ชื่อ ท่าน โคคิชิ มิกิโมโต
ที่มา:
https://www.mikimoto.com/en/about-us/history.html
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1313405908&grpid=no&
สอบถามเรื่องไข่มุกได้ 24 ชั่วโมงนะค่ะ