1.� ไข่มุกธรรมชาติ (natural pearl) คือไข่มุกเกิดขึ้นเองในหอยมุกซึ่งเป็นหอยสองฝามีทั้งชนิดน้ำจืด และน้ำเค็ม อาจเกิดเนื่องมาจากเซลล์เนื้อเยื่อเจริญปลายยอดชั้นนอก(mantle) บางส่วนหลุดเข้าไปใน ตัวของหอยมุกโดยบังเอิญหรืออาจเป็นสิ่งแปลกปลอมเช่น เม็ดทรายขนาดเล็ก กรวด หนอนทะเล หรือตัวเบียน�(parasite) ถูกพัดพาเข้าไปภายในตัวหอยมุก แล้วทำให้ตัวหอยมุกเกิดความระคายเคือง จนหลั่งสารที่เป็นชั้นมุกที่เรียกว่า nacre ออกมาเคลือบสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นจนเป็นไข่มุก ในที่สุด จากโครงสร้างที่เป็นชั้น ๆ ของชั้นไข่มุกนี้เองที่ทำให้เกิดการหักเหและการสะท้อนกลับ เกิดการ แทรกสอดของแสง(interference�of light) ภายในชั้นต่าง ๆ จึงทำให้มองเห็นเป็นเหลือบมุก (orient) �บนผิวมุก ดังนั้นโครงสร้างของชั้นมุกจึงมีความสำคัญมากต่อคุณภาพของไข่มุก ถ้าแผ่นแคลเซียมคาร์ บอเนตชนิดอะราโกไนต์ (aragonite) ยิ่งบาง�และเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ จะทำให้สมบัติการ เหลือบมุกและความวาวสูง แต่ถ้าแผ่นอะราโกไนต์หนาเกินไปและเรียงตัวกันอย่างไม่เป็นระเบียบ� จะทำให้ไข่มุกมีคุณภาพเหลือบมุก�และความวาวต่ำเนื่องจากเกิดการแทรกสอดแบบหักล้างกันใน คลื่นแสง ดังนั้นความสวยงามของผิวมุกอยู่ที่ความละเอียด และความหนาชั้น nacre ของไข่มุก ยิ่งชั้น มุกมีความหนามากไข่มุกก็จะมีความวาวมาก 2.� ไข่มุกเลี้ยง (cultured pearl) มุกแบบไม่มีนิวเคลียส นิยมผลิตมุกน้ำจืด มีวิธีการผลิตมุกโดยการผ่า เอาเนื้อเยื่อ mantle ชิ้นเล็ก ๆ จากหอยตัวหนึ่งมาฝังลงใน mantle ของหอยอีกตัวหนึ่ง ชิ้นเนื้อเยื่อจะ แบ่งเซลล์ขยายตัวกลายเป็นถุงมุก (pearl sac) จะขับสารประกอบที่เป็นชั้นของเปลือกหอย โดยมีชั้น nacre อยู่นอกสุดเกิดเป็นมุกขึ้นภายในถุงมุก มุกที่ได้อาจมีรูปร่างได้หลายแบบ เนื่องจากไม่มีแกน กลางบังคับรูปร่างของมุกนั่นเอง � �มุกแบบมีนิวเคลียส นิยมใช้ผลิตมุกน้ำเค็ม วิธีการผลิตมุกแบบนี้คล้ายกับการผลิตมุกแบบไม่มีนิว เคลียส�เพียงแต่ใส่นิวเคลียสแกนกลางที่มีขนาดต่าง ๆ เข้าไปพร้อมกับชิ้น mantle จากนั้น nacre จะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเคลือบนิวเคลียสที่เป็นแกนกลางภายในถุงมุก (pearl sac) เมื่อเวลาผ่านไปจะ ได้มุกกลมสวยงาม การผลิตมุกแบบนี้ต้องอาศัยความชำนาญและฝีมือในการผ่าตัดฝังนิวเคลียส โดยอาศัยเครื่องมือพิเศษ ตำแหน่งที่ฝังแกนกลางและเนื้อเยื่อในหอยมุกทะเลคือบริเวณที่สร้างเซลล์ สืบพันธุ์ (gonad) |